วันเสาร์, 19 เมษายน 2568

วันแรกที่เควิน เดอ บรอยน์ ย้ายมาแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยราคา 55 ล้านปอนด์ สายตาของแฟนบอลทั่วไป มีข้อสงสัยเยอะทีเดียว

แน่นอน เดอ บรอยน์ เก่งอยู่แล้ว แต่ผู้คนประเมินว่า ราคาไม่ควรสูงขนาดนั้น จนถึงขั้นเป็นสถิติของสโมสรแมนฯ ซิตี้



คือยุคนั้น เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตัวเลขห้าสิบกว่าล้านปอนด์ มันแพงมากๆ ต้องเป็นตัวท็อปจริงๆ ถึงจะซื้อขายกันราคาแบบนี้

วันที่การย้ายตัวเกิดขึ้น สำนักข่าว TNT Sports พาดหัวว่า “เควิน เดอ บรอยน์ คู่ควรกับราคา 55 ล้านปอนด์จริงๆ หรือ?”

ในข่าวเขียนว่า ใช่ เดอ บรอยน์เป็นนักเตะฝีเท้าดี มีพรสวรรค์ แต่ราคาสูงขนาดนี้ มันก็มีความเสี่ยง ที่จะกลายเป็น Flop ได้

นอกจากนั้น ในทวิตเตอร์ ก็มีทวีตหนึ่งเขียนว่า “เหลือเชื่อ เดอ บรอยน์ ราคาแพงกว่า เปโดรมากกว่าสองเท่า”

ในช่วงซัมเมอร์ปีนั้น เปโดร โรดริเกวซ ตัวรุกชาวสเปน ที่เคยได้แชมป์โลก และ แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกมาแล้ว ย้ายจากบาร์เซโลน่ามาเชลซี ในราคาแค่ 19 ล้านปอนด์ แต่พอเห็นเดอ บรอยน์ ที่ไม่เคยได้แชมป์ใหญ่อะไรเลย มีค่าตัว 55 ล้านปอนด์ หลายคนก็เลยแปลกใจมาก

ช่วงนั้น มีชาวเน็ตเยาะเย้ยแมนฯ ซิตี้ เพราะเชลซีขายเดอ บรอยน์ ให้โวล์ฟสบวร์กในปี 2014 ด้วยราคา 18 ล้านปอนด์ แต่แค่ปีเดียว แมนฯ ซิตี้ไปซื้อกลับมาในปี 2015 ด้วยราคา 55 ล้านปอนด์ โลกออนไลน์บอกว่า โวล์ฟสบวร์กคงสะใจน่าดูที่ฟันกำไรยับๆ แบบนั้น

ท่ามกลางคำวิจารณ์มากมาย แต่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นำโดยซิกี้ เบกิริสไตน์ ผู้อำนวยการฟุตบอล และ มานูเอล เปเยกรินี่ ผู้จัดการทีม ยืนยันว่า “ยังไงก็จะซื้อ” ต่อให้จ่ายแพง โดนฟันเละก็จะซื้อ เพราะเดอ บรอยน์ ที่ ณ เวลานั้นอายุ 24 ปี จะเป็นคีย์แมนของสโมสรไปอีกหลายปี

ดังนั้นโวล์ฟสบวร์กอยากได้ราคาเท่าไหร่ ซิตี้ก็จะจ่าย และ เดอ บรอยน์อยากได้ค่าจ้างเท่าไหร่ แมนฯ ซิตี้ก็พร้อมให้

ค่าเหนื่อยจากเดิมของเดอ บรอยน์ เขารับกับโวล์ฟสบวร์กที่ 66,000 ปอนด์ ต่อสัปดาห์ แมนฯ ซิตี้ ก็อัพขึ้นให้เป็น 150,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ เรื่องเงินไม่มีปัญหาอยู่แล้ว

ไม่ใช่แค่ค่าจ้าง แต่การดูแลต่างๆ นอกสนาม สโมสรเตรียมพร้อมให้ทุกอย่าง เดอ บรอยน์มาแต่ตัวได้เลย เอาแค่ฝีเท้าของเขามาก็พอ

แพทริก เดอ คอสเตอร์ เอเยนต์ของเดอ บรอยน์ เล่าให้ฟังว่า “ในวันที่เซ็นสัญญา ทุกอย่างมันอลังการมากเหมือนในภาพยนตร์เลย”

“แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอาเครื่องบินส่วนตัวไปรับเรามาที่แมนเชสเตอร์ จากนั้นก็เตรียมรถลิมูซีนจากสนามบินพาไปสโมสร”

“ตอนแรกเรากังวลใจว่าย้ายกลับมาอังกฤษครั้งนี้ คงวุ่นวายมาก ทั้งการหาบ้านใหม่ การเปิดบัญชีธนาคาร การเปิดหมายเลขโทรศัพท์ การหารถยนต์ไว้ใช้ แต่ภายใน 3 ชั่วโมงหลังจากเหยียบแมนเชสเตอร์ เราได้ของทุกอย่างครบ เพราะสโมสรจัดเตรียมเอาไว้ให้หมดแล้ว”

ไม่ว่าสื่อมวลชน หรือ เสียงวิจารณ์จะว่าอย่างไร แต่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มั่นใจจริงๆ ว่านี่คือดีลที่ดีมาก

ราคา 55 ล้านปอนด์ที่ลงทุนไป กับค่าจ้างวีกละ 150,000 ปอนด์ พร้อมการดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง ซิตี้เชื่อว่า มันคุ้มค่า ทุกเพนนี

ย้อนกลับไปเล็กน้อย ทุกคนน่าจะจำกันได้ว่า เดอ บรอยน์ เคยเล่นในพรีเมียร์ลีกมาก่อนแล้วกับเชลซี แต่ไม่ประสบความสำเร็จเลย

มกราคมปี 2012 ไมเคิล เอมาเนโล่ ผู้อำนวยการเทคนิคของเชลซี ซื้อเดอ บรอยน์ (20 ปี) จากสโมสรเกงค์ ในเบลเยี่ยมด้วยราคา 6.7 ล้านปอนด์ ซื้อล่วงหน้าไว้ก่อนที่จะโดนทีมอื่นตัดหน้า แล้วปล่อยให้เกงค์ยืมตัวต่อ จนจบซีซั่น 2011-12

จากนั้นพอเข้าสู่ช่วงซัมเมอร์ ปี 2012 เชลซีก็ปล่อยให้แวร์เดอร์ เบรเมน ยืมตัวอีก 1 ปี ในฤดูกาล 2012-13 เพื่อไปบ่มเพาะความเขี้ยวในลีกที่ยากขึ้นอย่างบุนเดสลีกา

และที่เบรเมน นี่เอง ที่เดอ บรอยน์ ในบทบาทเพลย์เมกเกอร์ เริ่มเปล่งประกาย เขายิงไป 10 ลูก ช่วยให้เบรเมนรอดตกชั้น

พอเข้าสู่ช่วงซัมเมอร์ปี 2013 เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือของดอร์ทมุนด์ขณะนั้น ยื่นข้อเสนอ ให้เชลซีทันที พร้อมซื้อตัวมาร่วมทัพ ซึ่งเดอ บรอยน์ก็อยากย้ายไปอยู่กับคล็อปป์ แต่โชเซ่ มูรินโญ่ ที่เพิ่งย้ายกลับมาคุมเชลซีอีกรอบ ได้กล่าวกับเขาเป็นการส่วนตัวว่า “นายจะไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น อยู่ที่นี่แหละ แล้วนายจะได้โอกาสแน่นอน ไม่ใช่แค่บอลถ้วยนะ แต่ในบอลลีกด้วย ฉันเชื่อมั่นในตัวนาย”

ในนาทีนั้น เขาลังเลใจมากว่าจะไปอยู่กับคล็อปป์ที่ดอร์ทมุนด์ หรืออยู่กับมูรินโญ่ที่เชลซี แต่สุดท้ายเขาเลือกเชลซี เพราะเชื่อว่าระดับฟุตบอลของพรีเมียร์ลีก เหนือกว่าบุนเดสลีกาอยู่สเต็ปหนึ่ง

พอมาอยู่เชลซีจริงๆ เดอ บรอยน์ ได้ออกสตาร์ท เกมแรกของฤดูกาล 2013-14 และทำแอสซิสต์หนึ่งลูกทันที ช่วยให้เชลซีชนะฮัลล์ 2-0

ทุกอย่างเหมือนจะดี แต่นับจากวันนั้น จังหวะชีวิตของเขาก็ยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมูรินโญ่มองว่า เดอ บรอยน์ ไม่ใช่คำตอบในแผงแนวรุก



มูรินโญ่ มีสามประสานที่ลงตัวกับแผนของเขาอยู่แล้ว คือเอแด็น อาซาร์, ออสการ์ และ วิลเลียน โดยมีอันเดร เชือร์เล่เป็นตัวสอดแทรก เดอ บรอยน์กลายเป็นชอยส์ท้ายๆ หลายครั้งเขาโดนตัดทิ้งจาก squad ไม่มีชื่อแม้กระทั่งเป็นตัวสำรอง

เดอ บรอยน์ ต้องการลงเล่นเท่านั้น เขามั่นใจว่าตัวเองเก่งพอ และสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง เมื่อเขาไปขัดแย้งกับโชเซ่ มูรินโญ่

มีนักข่าวไปถามมูรินโญ่ว่าทำไมดร็อปเดอ บรอยน์ เขาตอบว่า “ถ้าเดอ บรอยน์ ไม่ได้เล่น นั่นก็แปลว่าเขาไม่สมควร กับทีมชาติเบลเยียมหรือในฟุตบอลเยอรมัน เขาอาจเป็นตัวจริง แต่ที่เชลซีมันอีกระดับหนึ่ง เขายังไม่ทำให้ผมรู้สึกทึ่งได้มากพอ”

จากนั้น แมตช์ที่เดอ บรอยน์โดนตัดตัวจากชุดแชมเปี้ยนส์ลีกที่ไปเยือนบูคาเรสต์ มูรินโญ่ให้สัมภาษณ์ว่า “เกมลีกคัพกับสวินดอน ทาวน์ เขาเล่นไม่ดี ดังนั้นเขาก็ต้องหลุดทีมไป เชลซีไม่ใช่แวร์เดอร์ เบรเมน คุณต้องสู้สุดชีวิตเพื่อลงเล่น”

สิ่งที่เดอ บรอยน์ รู้สึกได้ชัดเจนคือ มูรินโญ่ ไม่เชื่อมั่นในฝีเท้าของเขา แถมยังชอบโจมตีเขาผ่านสื่อบ่อยๆ สุดท้าย ทำให้เดือนธันวาคม 2013 มูรินโญ่ , เดอ บรอยน์ และ ผู้บริหารเชลซี ต้องนั่งประชุมกันเพื่อเคลียร์ปัญหานี้

จริงๆ มูรินโญ่ อยากให้เดอ บรอยน์ อยู่ต่อ แต่มองว่าตัวนักเตะต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก ทั้งเรื่องแนวคิด ทัศนคติ และการปรับตัวเข้ากับสไตล์พรีเมียร์ลีก มันเร็วเกินไปที่จะให้เดอ บรอยน์ เป็นตัวจริงในตอนนี้

แล้วกองกลางตัวรุกเชลซี ตอนนั้นก็ถือว่าเล่นดีทุกคน ออสการ์ อาซาร์ วิลเลี่ยน เชือร์เล่ แต่ละคนเป็นดีกรีทีมชาติชุดใหญ่ทั้งนั้น แล้วเดอ บรอยน์ เป็นดาวรุ่งที่เพิ่งจะดัง มันยากที่จะสอดแทรก

แต่เดอ บรอยน์ ไม่ยอม เป้าหมายเดียวของเขาคือลงเล่น จะย้ายไปทีมไหนก็ได้ทั้งนั้น ถ้าเขาไม่ได้ลงสนามต่อเนื่อง จะติดทีมชาติเบลเยียมไปเล่นฟุตบอลโลก 2014 ได้อย่างไร มูรินโญ่ไม่สนใจจุดนี้เลย

สุดท้าย อ็อปชั่นเดียวที่มีในตลาดเดือนมกราคม 2014 คือสโมสรโวล์ฟสบวร์กในบุนเดสลีกา ที่ขอยืมตัวครึ่งปี ซึ่งเดอ บรอยน์ ก็คิดว่าจะเป็นที่ไหนก็ได้ ขอไปจากตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน

เดอ บรอยน์ เลยย้ายไปวัดใจกับทีมใหม่ แม้จะรู้ดีว่าคุณภาพของทีมจะลดลงหากเทียบกับเชลซี แต่ตอนนี้ขอลงเล่นก่อน แล้วอนาคตยังไงค่อยว่ากัน

ซึ่งการย้ายครั้งนั้น เป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด ภายใต้การร่วมงานกับเฮดโค้ชดีเตอร์ เฮ็คกิ้ง ทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆมากมาย และพัฒนาตัวเอง กลายเป็นนักเตะที่ดีขึ้น

โวล์ฟสบวร์กในครึ่งซีซั่น ที่มีเดอ บรอยน์ ทีมจบอันดับ 5 จากนั้นพอเข้าช่วงซัมเมอร์ 2014 โวล์ฟสบวร์กยื่นข้อเสนอซื้อขาดจากเชลซี ในราคา 18 ล้านปอนด์

ถ้าเดอ บรอยน์ ถ้าอยู่เชลซีต่อ ก็จะได้ค่าจ้างวีกละ 75,000 ปอนด์ แต่พอย้ายไปโวล์ฟสบวร์ก ค่าจ้างลดลงเหลือ 66,000 ปอนด์ เพราะโวล์ฟสบวร์กจ่ายได้แค่นั้น แต่เดอ บรอยน์ คิดถึงโอกาสลงสนามมากกว่าก็เลยย้ายไป

บทสรุปของเดอ บรอยน์ กับช่วงเวลาที่เชลซี คือได้ลงเล่นแค่ 9 นัดเท่านั้น คือพรีเมียร์ลีก 3 นัด, ลีกคัพ 3 นัด และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 3 นัด จากนั้นก็ย้ายออกไปแบบเงียบๆ

ถามว่ามูรินโญ่ตัดสินใจผิดไหม ที่ปล่อยเดอ บรอยน์ออกไป ในช่วงซัมเมอร์ปี 2014 คำตอบคือ ก็ไม่ผิด

ในฤดูกาล 2014-15 มูรินโญ่พาเชลซีคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ โดยไม่มีเดอ บรอยน์ เขามั่นใจในศักยภาพของทีมตัวเอง นักเตะมันเล่นกันดีอยู่แล้ว ไม่มีพื้นที่ให้เดอ บรอยน์จริงๆ

สุดท้ายต่างคนก็ต่างเดิน และเดอ บรอยน์ ก็ไปเติบโตในเส้นทางอาชีพของตัวเอง

ในฤดูกาล 2014-15 ของ เดอ บรอยน์ กับโวล์ฟสบวร์ก เขายิงได้ 16 ลูก และทำ 20 แอสซิสต์ ในฤดูกาลเดียว นั่นคือเหตุผลที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตัดสินใจดึงตัวกลับมาพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง

วันที่แมนฯ ซิตี้ ซื้อตัวมา มีแต่คำวิจารณ์มากมาย แต่จนถึงวันนี้ทุกคนก็ได้รู้แล้วว่า 55 ล้านปอนด์ที่จ่ายไป มันคุ้มค่าขนาดไหน

– เขาช่วยแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 6 สมัย มีนักเตะแค่ 5 คนเท่านั้น ที่ทำได้มากกว่าเขา คือ ไรอัน กิ๊กส์, พอล สโคลส์, แกรี่ เนวิลล์, เดนิส เออร์วิน และ รอย คีน โดยทั้งหมดคือนักเตะปีศาจแดงในยุคของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

– เดอ บรอยน์ เป็นดาวแอสซิสต์ของพรีเมียร์ลีก 3 สมัย

– เดอ บรอยน์ ทำสถิติเป็นนักเตะที่แอสซิสต์สูงสุดในฤดูกาลเดียว นั่นคือ 20 ครั้ง ในฤดูกาล 2019-20 มีคนเดียวที่ทำได้ 20 ครั้งเท่ากันคือเธียร์รี่ อองรี ในฤดูกาล 2002-03

– เดอ บรอยน์ ช่วยแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร และได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริง ในเกมนัดชิงที่ชนะอินเตอร์ มิลาน 1-0 ด้วย

– เดอ บรอยน์ เป็นนักเตะจากพรีเมียร์ลีก ที่ติดทีม FIFPRO World 11 หรือทีมออลสตาร์โลก สูงสุดที่จำนวน 5 สมัย เทียบเท่ากับจอห์น เทอร์รี่ ของเชลซีที่ทำได้ 5 สมัยเท่ากัน

– เดอ บรอยน์ เป็นนักเตะที่แอสซิสต์มากที่สุด อันดับ 2 ตลอดกาลในพรีเมียร์ลีก ที่จำนวน 118 ครั้ง โดยคนที่ทำได้มากกว่าเขาคือไรอัน กิ๊กส์ 162 ครั้ง แต่ไรอัน กิ๊กส์เล่นพรีเมียร์ลีก 22 ซีซั่น ส่วนเดอ บรอยน์ เล่นเพียงแค่ 10 ซีซั่นเท่านั้น

– เดอ บรอยน์ เป็นนักเตะที่ร่วมงานกับเป๊ป กวาร์ดิโอล่ายาวนานที่สุดในอาชีพโค้ช นั่นคือ 9 ฤดูกาล เป๊ปไม่เคยอยู่กับใครนานขนาดนี้

สถิติสุดยอดมากมาย ที่เดอ บรอยน์ สร้างขึ้นรับรองได้ว่า ยากมาก ที่จะมีคนทำลายได้ เขาคือราชาแอสซิสต์ตัวจริง แถมยังมีวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยม ยิงประตูสวยๆ ได้บ่อยมาก เป็นอัจฉริยะของแท้ในสนาม

หลังจากเดอ บรอยน์ เล่นกับแมนฯ ซิตี้ 10 ซีซั่น ก็ได้เวลาที่เขาจะแยกทางกับทีมเรือใบสีฟ้าเพียงแค่นี้ หลังจบฤดูกาล 2024-25

สโมสรตั้งใจจะไม่ต่อสัญญา แต่ถ้าเดอ บรอยน์ อยากจะอยู่ต่อจริงๆ ก็สามารถสร้างซีนหรือใช้มวลชนมากดดันก็ได้ ยังไงเขาก็คือเลเจนด์ของทีม คำพูดย่อมมีน้ำหนักให้ทีมพิจารณา แต่สุดท้ายเดอ บรอยน์ เลือกที่จะอำลาเพียงแค่นี้ดีกว่า ไม่ต้องดราม่า ไม่ต้องยืดเยื้อ

จบกันด้วยความรัก รู้ว่าปลายทางอยู่ตรงไหน ดีกว่าฝืนอยู่กันไป แล้วก็เสียใจกันทุกฝ่าย

คิดดูว่า ถึงยื้อไปแล้วได่สัญญาจริง เดอ บรอยน์ ก็คงไม่แฮปปี้ ที่ได้ลงเล่นน้อยลง เพราะอายุที่มากขึ้น มิถุนายนนี้ก็ 34 ปีแล้ว ส่วนแฟนบอลพอผ่านไปนานๆ เห็นสโมสรจ่ายค่าเหนื่อยแพงๆ ให้เดอ บรอยน์ ทั้งๆ ที่ได้เล่นน้อย ก็อาจตั้งคำถามถึงตัวเขาก็ได้

ดังนั้นการตัดสินใจแยกทางครั้งนี้ มันดีกับทุกฝ่ายที่สุดแล้ว เดอ บรอยน์ จะได้ย้ายไปในลีกที่ “เบาลง” อาจจะเป็นเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ หรือ ลีกซาอุดิอาระเบีย เพื่อโอกาสลงสนามที่มากขึ้นกว่าเดิม

ฟุตบอลโลก 2026 จะเริ่มขึ้นในระยะเวลาแค่ 1 ปีกว่า ถ้าเดอ บรอยน์อยากติดทีม การได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอก็จำเป็น จะว่าไปก็คล้ายๆ กับเหตุการณ์ที่เขาขอย้ายออกจากเชลซีในปี 2014 อยู่เหมือนกัน

สำหรับแฟนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ย่อมรู้สึกใจหายแน่นอน เพราะนี่คือนักเตะที่อยู่คู่กับสโมสรมายาวนานมากๆ เขาคือคนที่ช่วยทำให้วิสัยทัศน์ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่าเป็นจริงได้

10 ปี คว้า 6 แชมป์พรีเมียร์ลีก และแสดงความเป็นมืออาชีพเสมอ ไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อย นี่คือผลงานดีที่สุด เท่าที่คุณจะขอจากนักเตะคนหนึ่งได้แล้ว

ในแถลงการณ์ของเดอ บรอยน์ ฉบับล่าสุดของเดอ บรอยน์ มีเนื้อความว่า

“เมื่อคุณได้เห็นจดหมายฉบับนี้จากผม ก็คงเดาได้ว่าผมจะพูดเรื่องอะไร ดังนั้นผมจะเข้าประเด็นเลยแล้วกันนะ ผมจะบอกว่า นี่คงเป็นช่วง 2 เดือนสุดท้ายของผมในฐานะนักเตะของแมนเชสเตอร์ ซิตี้แล้ว”

“มันไม่ง่ายที่จะเขียนเรื่องเหล่านี้ แต่ในฐานะนักฟุตบอล คุณรู้อยู่แล้วว่าวันแบบนี้ต้องมาถึง และเมื่อวันอำลามาถึง ผมคิดว่าคุณสมควรได้ยินจากผมเป็นคนแรก”

“ฟุตบอลนำพาผมให้มาเจอกับพวกคุณทุกคน และนำพาผมมาสู่เมืองแห่งนี้ ได้ไล่ล่าความฝัน โดยไม่รู้เลยว่าช่วงเวลากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะเปลี่ยนชีวิตของผมไปตลอดกาล”

“เมืองแห่งนี้ สโมสรแห่งนี้ ผู้คนเหล่านี้ พวกคุณมอบความรัก และมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับผม ดังนั้นผมก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากมอบทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนไปให้พวกคุณเช่นกัน! และรู้อะไรไหม ท้ายที่สุด เราชนะมันทุกอย่างเลย”

“ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ แต่มันก็ถึงเวลาที่จะกล่าวอำลา ซูรี, โรม, เมสัน, มิเชลล์ และ ผม รู้สึกซาบซึ้งใจเหลือเกิน เมืองนี้มีความหมายกับพวกเราจริงๆ และแน่นอน ชื่อ “แมนเชสเตอร์” จะอยู่บนหน้าพาสปอร์ตของลูกๆ ผมตลอดไป (note : ในพาสปอร์ต จะมีเขียนว่า place of birth หรือสถานที่เกิด ซึ่งลูกทุกคนของเดอ บรอยน์เกิดที่แมนเชสเตอร์ทั้งหมด) “

“แต่ไม่ใช่แค่บนหน้าพาสปอร์ตนะ แมนเชสเตอร์จะอยู่ในใจของพวกเราเสมอด้วย สถานที่แห่งนี้ จะเป็นเหมือนบ้านของเราตลอดไป”

“ขอบคุณเมืองนี้ สโมสรนี้ สตาฟฟ์ นักเตะในทีม เพื่อนๆ ทุกคน ผมไม่รู้จะกล่าวคำขอบคุณมากแค่ไหนถึงจะเพียงพอ”

“นิทานทุกเรื่องย่อมมีตอนจบเสมอ แต่ก็แน่นอนว่า ช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันจะเป็นบทที่งดงามที่สุด”

“เรามาสนุกกับโมเมนต์สุดท้ายด้วยกันนะ”

“ด้วยรักอันเปี่ยมล้น เคดีบี”

จากนักเตะที่ไม่สามารถชนะใจโชเซ่ มูรินโญ่ได้ จนโดนเชลซีปล่อยทิ้ง จากนั้นก็เคยถูกกังขาว่า ฝีเท้าดีพอที่จะมีราคา 55 ล้านปอนด์หรือไม่

วันนี้ เควิน เดอ บรอยน์ ได้ตอบคำถามทุกอย่างไปหมดแล้ว เขาคือหนึ่งในนักเตะที่สุดยอดตลอดกาลของยุคพรีเมียร์ลีก เป็นผู้เล่นว่าที่ Hall of Fame และว่าที่ผู้เล่นคนต่อไป ที่จะมีรูปปั้นหน้าสนามเอติฮัด สเตเดี้ยม

ก่อนเดอ บรอยน์ จะย้ายมา แมนฯ ซิตี้ ก่อตั้งมาร้อยปี คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ 4 สมัย แต่พอมีเขาใช้เวลา 1 ทศวรรษ ในการทำแชมป์ลีกสูงสุดได้ 6 ครั้ง

จากเดิม ทีมเรือใบสีฟ้าเป็นลูกไล่แมนฯ ยูไนเต็ดตลอด เป็นแค่เพื่อนบ้านน่ารำคาญ แต่พอมีเดอ บรอยน์ที่เล่นภายใต้เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สถานะของแมนฯ ซิตี้ ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

หลังจากประสบความสำเร็จทุกอย่าง ในที่สุดก็ถึงวันอำลา และมันก็เป็นการแยกทางกันที่ดีที่สุดแล้ว

อยู่ให้คนรัก จากไปให้คนคิดถึง

กู๊ดบายเควิน เดอ บรอยน์ อัจฉริยะที่ไม่มีอะไรต้องพิสูจน์ตัวเองอีกแล้ว

counter