แต่ชนะก็คือชนะ และยังยึดจ่าฝูงอย่างเหนียวแน่นด้วยช่องว่าง 12 แต้ม ใกล้เป็นแชมป์ไปทุกที นี่คือบทสรุป 24 ข้อ จากเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ ที่สนามแอนฟิลด์
1) ลิเวอร์พูลได้พัก 17 วัน หลังความพ่ายแพ้นิวคาสเซิลที่เวมบลีย์ ตอนนี้ทุกคนต้องลืมความเจ็บปวด จากการตกรอบแชมเปี้ยนส์ลีก และแพ้นัดชิงคาราบาวคัพ แล้วทุ่มเทพลังทั้งหมด เพื่อถ้วยใบสุดท้ายที่เหลืออยู่ นั่นคือ พรีเมียร์ลีก
อาร์เน่อ สล้อธ กล่าวยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง โดยบอกว่า “เขาน่าจะโรเทชั่นผู้เล่นมากกว่านี้” นักเตะอย่างวาตารุ เอ็นโด ควรได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในสัปดาห์ที่แข่งถี่ๆ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ สล้อธก็อยากจะแก้ไขเรื่องนี้ เขาจะไม่ส่งนักเตะหน้าเดิมๆ ลงเล่นทุกนัดจนกรอบสุดๆ
ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่สล้อธจะได้เรียนรู้ ว่าในลีกดัตช์ คุณอาจจะไม่ต้องโรเทชั่นได้ แต่กับในพรีเมียร์ลีก และแชมเปี้ยนส์ลีก ที่โปรแกรมเข้มข้นมากสุดๆ ถ้าไม่หมุนเวียน จะส่งผลต่อช่วงโค้งสุดท้ายแบบนี้เอง
2) เกมเมอร์ซีไซด์ ดาร์บี้ แมตช์ นัดนี้ ถูกสื่ออังกฤษเรียกว่าเป็นเกม 9-9-9 ความหมายคือ ลิเวอร์พูลเหลือเกมอีก “9 นัด” มีช่องว่างห่างจากอันดับสอง อาร์เซน่อล “9 แต้ม” แต่ต้องมาเจอกับเอฟเวอร์ตัน ที่ไม่แพ้ใครในพรีเมียร์ลีกมา “9 นัด” ติดต่อกัน
ตั้งแต่เดวิด มอยส์ กลับมาคุมทีมทอฟฟี่ ในช่วงกลางเดือนมกราคม ผลงานของทีมถือว่าก้าวกระโดดมากๆ มอยส์เหมือนจะมีสูตรลับ ว่าทำอย่างไร เอฟเวอร์ตันถึงจะแข็งแกร่งขึ้น
เอฟเวอร์ตันในมือมอยส์ กลายเป็นทีมที่แพ้ยากมาก 9 นัด ที่เขาคุมทีมมา เอฟเวอร์ตันชนะ 4 เสมอ 5 คือเอาตัวรอดได้ตลอด ทีมเหมือนจะแพ้ จะแพ้ แต่มายิงคืนได้ช่วงทดเจ็บก็หลายครั้ง
3) อย่างไรก็ตาม สถิติของเดวิด มอยส์ ที่เป็นปมในใจของเขามาตลอด คือลงเล่นเกมลีก ในแอนฟิลด์ทั้งหมด 19 นัด ไม่เคยชนะได้เลยแม้แต่เกมเดียว (เสมอ 6 แพ้ 13)
คุมเอฟเวอร์ตัน 11 นัด, แมนฯ ยูไนเต็ด 1 นัด, ซันเดอร์แลนด์ 1 นัด และ เวสต์แฮม 6 นัด ทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่เคยชนะที่แอนฟิลด์ได้สักครั้ง เหมือนเป็นสนามอาถรรพ์ ที่ไม่เคยปลดล็อกได้เสียที
4) อีกประเด็นที่น่าสนใจสำหรับนัดนี้ คือเป็นนัดสุดท้าย ที่ทั้งคู่จะแข่งกันแบบ “Crossing the park” ความหมายคือ สองสโมสรคือเพื่อนบ้านกันมายาวนาน 131 ปี โดยที่ตั้งของสโมสรอยู่ห่างกัน แค่สวนสาธารณะกั้นเท่านั้น แต่นับจากเกมนี้เป็นต้นไป ซีซั่นหน้า เอฟเวอร์ตันจะย้ายไปอยู่สนามใหม่ที่ แบรมลีย์-มัวร์ ด็อค ที่อยู่ห่างกัน 3 กิโลเมตร ก็ไม่ได้ไกลกันมาก แต่ก็ไม่ได้ห่างกันแค่สวนกั้นอีกแล้ว
5) ไลน์อัพตัวจริงของลิเวอร์พูล ไม่มีอลิสซอน เบ็คเกอร์ ที่ยังร่างกายไม่สมบูรณ์ หลังจากไปปะทะกับ ดาวินซอน ซานเชซ ในเกมทีมชาติ สล้อธไม่อยากเสี่ยง จึงส่งควีวิน เคลเลเฮอร์ ลงเล่นแทน และให้วิเทซสลาฟ ยารอส เป็นตัวสำรอง
ส่วนแบ็กขวา ไม่มีเทรนต์, โกเมซ และ แบรดลีย์ แทนที่จะใช้ควอนซาห์ สล้อธกลับฉีกแนวไปเลย แล้วส่งเคอร์ติส โจนส์ เล่นในตำแหน่งนี้แทน แต่สล้อธอธิบายว่า “ถ้าส่งยาเรลล์ลงอาจช่วยเราเรื่องเซ็ตพีซ แต่ผมรู้สึกว่า ถ้าหากเราอยากจะชนะ เราต้องครองบอลให้ดีกว่านี้ ดังนั้นผมคิดว่าการใช้เคอร์ติส จะช่วยเพิ่มมิติด้านความคิดสร้างสรรค์ให้เราได้ด้วย”
ว่าง่ายๆ คือ ใช้โจนส์ ในบทบาทของอินเวิร์ต ฟูลแบ็ก ยืนริมเส้นไว้ แต่พอจะบุกก็ขยับเข้าใน ทำให้เหมือนมีกองกลางอยู่ในสนาม 4 คน วิธีนี้ จะช่วยลดภาระกองกลางไม่ให้เหนื่อยจนเกินไปด้วย
6) เปิดเกมมา 11 นาที ก็มีดราม่า เมื่อเจมส์ ทาร์คอฟสกี้ กระโจนพุ่งขาเข้าไปเสียบบอล ขาของทาร์คอฟสกี้โดนบอลก็จริง แต่จังหวะตามน้ำ มันเสียบเข้าไปที่ขาซ้ายของแม็คอัลลิสเตอร์แบบเต็มๆ
ลูกเสียบนี้ ครบองค์ประกอบทุกอย่าง มาด้วยความแรง ความเร็ว เสียบสูงเกินกว่าข้อเท้า และเปิดปุ่ม คือไม่รู้ว่าตั้งใจไหม แต่มันเป็นเพลย์ที่อันตรายมาก อย่างไรก็ตาม กรรมการซามูแอล แบร์ร็อตต์ แจกทาร์คอฟสกี้ แค่ใบเหลืองเท่านั้น ในห้อง VAR พอล เทียร์นี่ เช็กแล้วก็ยืนยันเหลืองตามเดิม
ทำให้เจมส์ ทาร์คอฟสกี้ ถือสถิติ เป็นนักเตะที่โดนใบเหลืองเยอะสุด (63 ใบ) แต่ไม่เคยโดนไล่ออกในพรีเมียร์ลีก ต้องบอกว่า เล่นโหดแต่รอดตลอด
จริงๆ มีนักวิเคราะห์จำนวนมาก ฟันธงว่า ลูกนี้ควรจะแดง อย่างไมค์ ดีน อดีตผู้ตัดสินพรีเมียร์ลีก ก็ระบุว่า “เป็นลูกเสียบที่แย่มาก และต้องโดนแดงสถานเดียว” เช่นเดียวกับ เจมี่ คาร์ราเกอร์ และ ดันแคน เฟอร์กูสัน ก็ไม่เข้าใจว่าจังหวะนี้รอดได้อย่างไร
7) นาที 20 เอฟเวอร์ตันยิงเข้าประตูไป จากการวางบอลยาวแดนหลัง เบโต้ ควบเดี่ยวเข้าไปยิงลอดขาเคลเลเฮอร์ แต่ไลน์แมนยกธงล้ำหน้าไปแล้ว เมื่อเช็ก VAR ก็ตามนั้น ขาของเบโต้ ล้ำออกมาจากแบ็กไลน์ของลิเวอร์พูล
ตามด้วยนาที 33 เบโต้ หลอกฟาน ไดค์ จนเสียเหลี่ยมก่อนซัดโป้งไปชนเสาแบบเต็มๆ ลิเวอร์พูลรอดไปได้อีกครั้ง
8 ) ลิเวอร์พูลพยายามครองบอลให้เยอะที่สุด ส่วนเอฟเวอร์ตันพยายามใช้ความฉาบฉวย ใช้การวางบอลยาวจากแดนหลัง หรือไม่ก็แทงจากกองกลางแบบกล้าได้กล้าเสีย ครึ่งแรกทีมทอฟฟี่น่าจะขึ้นนำแล้วด้วยซ้ำ
9) เกมนี้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้ยิงแค่ครั้งเดียว (โหม่งตรงตัวพิคฟอร์ด) จากนั้นเขาก็หาโอกาสยิงไม่ได้เลย ไม่แปลกใจที่โดนเปลี่ยนตัวออกช่วงท้ายเกม
ในสามเกมหลังสุด ซาลาห์ ยิงเข้ากรอบ 2 ครั้ง
– เปแอสเช (ชปล.) ยิง 4 ครั้ง เข้ากรอบ 1
– นิวคาสเซิล (คาราบาวคัพ) ยิง 0 ครั้ง เข้ากรอบ 0 ครั้ง
– เอฟเวอร์ตัน (พรีเมียร์ลีก) ยิง 1 ครั้ง เข้ากรอบ 1 ครั้ง
จะเห็นเลยว่า ซาลาห์มีอาการแผ่วไปอย่างชัดเจน จากที่เคยหาจังหวะยิงได้ตลอด ก็รู้สึกติดๆ ขัดๆ เลี้ยงบอลไม่ผ่านบ้าง วิ่งไปผิดช่องบ้าง
มีการวิเคราะห์กันว่าทำไมซาลาห์ ดูจะดร็อปลง เหตุผลแรก คือซาลาห์มักจะเล่นดีมากในช่วงครึ่งซีซั่นแรก แต่ในครึ่งซีซั่นหลัง ไม่รู้ทำไม มักจะแผ่วเสมอ
ฤดูกาลที่แล้ว ครึ่งซีซั่นแรกแรก ยิงได้ 12 แอสซิสต์ 7 แต่ครึ่งซีซั่นหลัง ยิง 6 แอสซิสต์ 3 คือซาลาห์เป็นแบบนี้บ่อยๆ มักจะฟอร์มหลุดในเดือน มีนาคม-เมษายนอยู่ตลอด อาจเพราะใช้ร่างกายอย่างหนักไปในช่วงต้นซีซั่นก็ได้
10) และอีกเหตุผลหนึ่งที่น่าสนใจเช่นกัน คือ การไม่มีอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ อยู่ในสนาม สถิติบอกว่า นักเตะที่ “สร้างโอกาส” ให้ซาลาห์ยิงประตูมากที่สุด ในชีวิตของเขา คืออเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่จำนวน 100 ครั้งพอดี เมื่อไหร่ก็ตามที่เทรนต์เจ็บ เล่นไม่ได้ ซาลาห์ก็จะลดประสิทธิภาพตามไปด้วย
ถ้าใครอยากให้ซาลาห์ ได้รางวัล “รองเท้าทองคำยุโรป” เป็นครั้งแรกในชีวิต ก็ต้องภาวนาให้ซาลาห์เร่งฟอร์มแล้ว เพราะเขาหยุดอยู่ที่ 27 ประตู เหลืออีก 8 เกมให้ลงเล่น ในขณะที่อันดับสองในยุโรปที่ตามมาติดๆ คือโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ยิงไป 25 ประตูในลาลีกา เหลืออีก 9 เกมให้เล่น ถ้าหากซาลาห์หยุดเมื่อไหร่ มีสิทธิ์โดนเลวานแซงไปได้ทุกเมื่อเหมือนกัน
11) ครึ่งแรกจบลงที่สกอร์ 0-0 ทรงบอลลิเวอร์พูลดูไม่ดีเลย คืออาจจะดีกว่าเกมกับนิวคาสเซิล แต่มันก็ยังไม่ดี ถ้าเทียบกับช่วงต้นซีซั่น
12) ครึ่งหลังลิเวอร์พูลพยายามจะดันไลน์ให้สูงขึ้น ฟาน ไดค์ – โกนาเต้ ยืนสูงกว่าครึ่งสนาม เพื่อกดเอฟเวอร์ตันให้อยู่ คือเคลียร์บอลทิ้งมาก็โดนหงส์เก็บ แล้วบุกต่อ พับกันให้เหนื่อยไปข้าง อย่างไรก็ตามทีมทอฟฟี่ยังเล่นเกมรับได้ดี
13) ในเกมที่ตื้อตันแบบนี้ และกองหลังคู่แข่งก็ทำงานได้ดี วิธีที่จะเจาะเข้าไปยิงได้ คือคุณต้องมี “ความพิเศษ” ต้องใช้สกิลของผู้เล่นคุณภาพในการช่วยทำประตู และนาทีที่ 57 ลิเวอร์พูลก็ได้สิ่งนั้น จากทักษะของดีโอโก้ โชต้า
ไรอัน กราเวนเบิร์ช แทงบอลจากตรงกลาง ให้หลุยส์ ดิอาซ ที่ยืนล้ำหน้า จังหวะนี้ดิอาซฉลาดพอ เขาไม่แสดงท่าทีว่าจะเล่นบอลเลย เพราะท่าออกแอ็กชั่นไปอาจโดนจับออฟไซด์ได้ ปรากฏว่าทาร์คอฟสกี้ เสียบสกัดบอลตามปฏิกริยา จนบอลมาเด้งเข้าทางโชต้า
คราวนี้โชต้าเล่นชิ่งกับดิอาซ ที่ยืนในตำแหน่งไม่ล้ำแล้ว พอบอลกลับมาถึงโชต้า เขาโชว์เทคนิคการเลี้ยง กระชากผ่านอิดริสซ่า เกย์, ทาร์คอฟสกี้ และ จาร์ราด แบรนท์เวท หลบ 3 ตัว แล้วตะบันผ่านพิคฟอร์ดเข้าไปเลย
โชต้ามีชอยส์ จะจ่ายให้ซาลาห์ก็ได้ แต่คนเป็นกองหน้ามันต้องมั่นใจแล้ว เมื่ออยู่หน้าประตู คุณต้องยิง และเขาก็ไม่พลาด ถ้าเรื่องการใช้โอกาสไม่เปลือง โชต้าไว้ใจได้
โชต้า ยิงเอฟเวอร์ตันมาแล้ว 3 สนาม คือ โมลินิวซ์ (2020), กูดิสัน พาร์ก (2021) และ แอนฟิลด์ (2025) ถือเป็นตัวแสบอีกคนหนึ่งของทีมทอฟฟี่เลยทีเดียว
14) ช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย สิ่งที่รู้สึกได้เลยคือ ลิเวอร์พูล “หมดพลัง” ไอเดียก็หมด พลังงานก็หมด ความสดชื่นบางอย่างหายไป
ลิเวอร์พูลไม่มีจังหวะเข้าทำสวยๆ ลูกสูตรอะไรก็ไม่มี ได้เตะมุม 11 ครั้งก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย มีความอึดอัดให้เห็นอยู่
15) สองทีมนี้ ลิเวอร์พูล เอฟเวอร์ตัน แต้มห่างกันคนละเรื่อง เอฟเวอร์ตันเอาแต้มตัวเองมาคูณสอง ยังน้อยกว่าลิเวอร์พูลด้วยซ้ำ แต่เกมในสนามเมื่อลงเล่น มันไม่ได้แตกต่างกันขนาดนั้น
เอฟเวอร์ตันสู้ได้สบายๆ ส่วนลิเวอร์พูลเองต่างหาก ที่ดูยากลำบากมาก อย่าเพิ่งคิดเอาประตูที่สอง การรักษาประตูแรกไว้ต่างหากที่สำคัญกว่า
16) ช็อตดราม่าอีกหนึ่งครั้ง เกิดขึ้นในนาทีที่ 86 เมื่อดาร์วิน นูนเยซ แย่งบอลจากแบรนท์เวท หลุดเข้าไปในเขตโทษ ปรากฏว่าก่อนที่นูนเยซจะได้ยิง พิคฟอร์ดวิ่งมาสอยขาเต็มๆ จนร่วง
เพลย์นี้ ทำให้คนคิดถึงจังหวะที่พิคฟอร์ด เสียบขาเวอร์จิล ฟาน ไดค์ ในฤดูกาล 2020-21 จนต้องพักยาวทั้งฤดูกาล
ลูกนี้ แม้พิคฟอร์ดดูจะอัดแรง แต่กรรมการไม่ลงโทษเขา แต่แจกใบเหลืองนูนเยซแทน เพราะกรรมการเป่าหยุดเกมไปแล้ว เป่าฟาวล์จังหวะที่นูนเยซแย่งบอลจากแบรนท์เวท แต่นูนเยซไม่ยอมหยุดเล่น ก็เลยโดนใบเหลืองไป ส่วนพิคฟอร์ดไม่โดนลงโทษอะไร
17) การเปลี่ยนตัว 3 คนของลิเวอร์พูลนัดนี้ คือถอดกองหน้าออกทั้งหมด
– นาที 75 นูนเยซลงแทนโชต้า
– นาที 86 กั๊กโปลงแทนดิอาซ
– นาที 90+2 เอ็นโด ลงแทนซาลาห์
สิ่งที่สล้อธเจตนาจะทำคือ “ประคองตัว” ให้จบที่ 1-0 ให้ได้ ไม่ได้หวังจะยิงเพิ่มแล้ว แต่ระวังตัวไม่ให้โดน ชนะ 1-0 ก็คือชนะ
การถอดกองหน้าอย่างเดียว ไม่เปลี่ยนกองกลาง และ กองหลัง แปลว่าเขาต้องการรักษาเชปของทีมเอาไว้ ทีมชุดนี้ป้องกัน กันได้ดีแล้ว ก็ยึดเอาไว้ตามเดิมดีกว่า
18) และอย่างที่ทุกคนทราบกันว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่วาตารุ เอ็นโดลงเล่น หมายความถึง “การปิดเกม” ลิเวอร์พูลจะไม่ยิงเพิ่มแล้ว แต่จะยึดสกอร์นี้ไว้จนนกหวีดหมดเวลาดังขึ้น
เรื่องนี้คือประสบการณ์ของสล้อธ ถ้าย้อนกลับไปในเกมเมอร์ซีไซด์ ดาร์บี้ ที่กูดิสัน พาร์ก ช่วงท้ายเกม ลิเวอร์พูลนำ 2-1 แทนที่จะส่งเอ็นโดลงมาปิดเกม แต่สล้อธเลือกส่งดีโอโก้ โชต้า ลงมา กะจะยิงเพิ่ม
สุดท้ายนาที 90+7 มาโดนตีเสมอ 2-2 ดังนั้นคราวนี้เขาจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำเดิม เพราะสามแต้มในสถานการณ์นี้ สำคัญที่สุด ไม่ต้องยิงเพิ่มมากกว่านี้แล้ว ชนะน้อยก็ชนะเหมือนกัน
19) หลังจากทดเวลาบาดเจ็บจนครบ 6 นาที ลิเวอร์พูลเฉือนชนะเอฟเวอร์ตัน 1-0 นี่คือชัยชนะในเมอร์ซีไซด์ ดาร์บี้ นัดที่ 100 ของทีมหงส์แดง
จริงๆ เอฟเวอร์ตันสู้กับลิเวอร์พูลได้ดีมากๆ ทั้งสองนัดเหย้า-เยือน ถือเป็นทีมที่ต่อกรได้ยากลำบากมากๆ แต่สุดท้ายลิเวอร์พูลยังเอาตัวรอดไปได้อย่างเสียวไส้
20) ในนัดนี้ ถ้าพูดกันตรงๆ ลิเวอร์พูลเล่นไม่ค่อยดีนัก ทั้ง 90 นาที มีโอกาสยิงเข้ากรอบ 3 ครั้งถ้วน
ลูกโหม่งตรงตัวของซาลาห์, ลูกยิงนอกเขตโทษของกราเวนเบิร์ช และ ลูกยิง 1-0 ของโชต้า มีแค่สามครั้งเท่านั้นที่ลิเวอร์พูลยิงเข้ากรอบในเกมนี้ ถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็นมาก
21) สิ่งที่รู้สึกได้เลย คือหงส์แดงกำลังจะหมดแล้ว ไอเดียต่างๆ พลังงานที่มี ดูไม่ได้ครึกครื้นเหมือนเดิมแล้ว
ผมคิดเหมือนเพจต้นทางฟุตบอลเขียนไว้ เขาบอกว่า ลิเวอร์พูลเหมือนรถที่ “น้ำมันกำลังจะหมด เครื่องรวน หม้อเดือด แค่สู้กับคู่แข่งก็เหนื่อยมากแล้ว ยังต้องมาเจอกรรมการอีก”
แต่อยากให้คิดว่า ในช่วงต้นฤดูกาล หงส์แดงทีมนี้ถูกประเมินว่า ไม่ดีพอที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เก่งสุดที่ทำได้ก็น่าจะจบแค่อันดับ 3
หลายคนมองว่า หงส์แดง Squad Depth ยังไม่ดีพอ ส่วนโค้ชก็เป็นมือใหม่ในพรีเมียร์ลีก ดังนั้นคงยาก ที่จะคว้าแชมป์ได้
การที่ลิเวอร์พูลตบหน้าคำวิจารณ์เหล่านั้น แล้วยืนอันดับหนึ่งได้ยาวนานขนาดนี้ มันต้องใช้พลังงานสูงมาก ถ้าเป็นรถยนต์ก็คือใช้น้ำมัน ใช้แบตเตอรี่ จนแทบจะไม่เหลืออีกแล้ว ทุ่มเทไปสุดพลังที่มีแล้ว
22) ตอนนี้พรีเมียร์ลีก เหลืออีก 8 นัดสุดท้าย ลิเวอร์พูลมีช่องว่างห่างจากอาร์เซน่อล 12 แต้ม และลูกได้เสียดีกว่า 13 ลูก
แปลว่า ขอแค่ชนะอีก “4 นัด” ก็เพียงพอที่จะเป็นแชมป์ทันที
23) แต่ด้วยฟอร์มที่เริ่มถดถอย ก็เข้าใจได้ ที่ความรู้สึกของแฟนๆ ลิเวอร์พูล จะมองแค่ว่า ไปถึงเส้นชัยก็พอแล้ว
ไม่คาดหวังให้ทีมต้องเล่นสวย , ไม่คาดหวังให้ชนะแบบเอาต์คลาส และไม่คาดหวัง ที่จะสร้างสถิติอะไรที่ยิ่งใหญ่ให้น่าจดจำ ขอแค่เป็นแชมป์ได้ก็โอเค
24) อย่างไรก็ตาม อยากยกสถิติสุดท้ายมาให้กำลังใจแฟนลิเวอร์พูล นั่นคือ
ถ้าอิงจากประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ทีมไหนก็ตามที่นำ 12 แต้ม ในขณะที่เหลือการแข่งอีก 8 นัด ไม่เคยพลาดแชมป์แม้แต่หนเดียว และถ้ามันจะมาแจ๊กพอตแตกในฤดูกาลนี้กับทีมหงส์แดง ก็ให้มันรู้ไปสิเนอะ